วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

มิตรภาพคือ


มิตรภาพคืออะไร
เธอไม่จำเป็นต้องเหมือนฉัน
ฉันไม่จำเป็นต้องเหมือนเธอ
มีส่วนคล้ายส่วนต่าง
ไม่จำเป็นทุกอย่างจะต้องเหมือน
ขอเพียงความสัมพันธ์ไม่ลืมเลือน
สำหรับความเป็นเพื่อนก็เพียงพอ
นี้ไม่ใช่กลอนที่มีสัมผัสเคร่งครัดตามฉันทลักษณ์แต่เป็นกลอนที่เขียนขึ้นจากความเป็นจริงคุณเคยไหมว่าเพื่อน มิตรภาพนั้นคืออะไรความหมายมีมากมายหลายอย่าง บ้างครั้งเขาคือคน คนเดียวที่อยู่ข้างเราวันที่คิดว่าไม่มีใคร แค่คนเดียวที่นั่งข้างๆ เฉยๆ ไม่ต้องปลอบใจกันเป็นคำพูด ไม่ต้องยกมือเช็ดน้ำตาให้ ... เพื่อนสนิท... ก็คือเพื่อนธรรมดาๆคนนึง ที่ดันสนิทกันมากกว่าเพื่อนธรรมดาๆทั่วๆไปซึ่งมันก็ต้องมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายๆกับเรามากกว่าเพื่อนคนอื่น ... ถึงจะมาสนิทกันได้ บางที อาจไม่ใช่นิสัย บางที อาจไม่ใช่หน้าตา บางที อาจไม่ใช่ฐานะ บางที อาจไม่ใช่ระดับความรู้แต่มันอาจจะมีอะไรบางอย่าง ที่ต้องเป็น มั น ค น นี้ เ ท่ า นั้ น ที่ มี บางครั้ง... เราก็ไม่ไป ที่ที่เราอยากไป เพียงเพราะว่า มันไม่ไปด้วย บางครั้งนั่งเงียบอยู่ได้ตั้งนาน แต่แค่เห็นหน้ามัน... น้ำตาที่กลั้นไว้แทบตาย กลับทะลักออกมาได้จนหมด... บางครั้ง ถ้ามีเสียงหัวเราะของมันด้วย... เราจะหัวเราะได้ดังกว่านี้... บางครั้งร้อยคำปลอบใจของใครก็ไม่รู้... ยังอุ่นใจไม่เท่ามือมันที่แค่ตบเบาๆที่หัวไหล่บอกเป็นนัยๆว่า กรูอยู่ตรงนี้ ชอบคำๆนึงที่บอกว่า . . . . .. เ ร า ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น แ ค่ เ พื่ อ น . . . . . แ ต่ เ ร า เ ป็ น ตั้ ง เ พื่ อ น ต่ า ง ห า ก . .... เพราะเพื่อนมีความสำคัญมากๆมากจนบางคนแยกไม่ออก เอาไปเปรียบเทียบกะแฟนว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ทั้งๆที่มันคนละเรื่องกันเลยแต่เมื่อเวลาที่เราอยู่ในห้วงของความรัก... เพื่อน ... จะกลายเป็นส่วนเกินของโลกส่วนตัวเราทันทีไอ้เพื่อนสนิทเรา มันคงจะชินแล้วที่เวลาเรามีรักทีไร เราก็จะห่างๆมันไปทุกที... เวลาที่จะกลับมานึกถึงมันได้อีกที ก็ตอนอกหักนู่นแหละก็เคยคิดเหมือนกันนะถ้าเราเป็นมัน จะรู้สึกยังไงคงจะประมาณว่า... " แม่ง ... พอมีแฟนก็ลืมเพื่อนนี่ กะกรูไม่เคยช่วย ห่ าไรเลย ทีกะแฟนแมร่งแทบถวายหัว" " ต้องเลิกกะแฟนก่อนถึงจะจำเบอร์โทรกรูได้ใช่ไหม สราดดด" คิดๆดูแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆเพราะเวลาที่กำลังมีความสุขในห้วงของความรักก็แทบไม่ได้จะไปเที่ยวไหนกับมันเลยนานๆถึงจะได้คุยกันทีแต่พอผิดหวัง พอเจ็บตัวขึ้นมานาทีนั้นอยากกดโทรศัพท์ไปหามันก่อน อยากให้มันรับโทรศัพท์ก่อนซึ่งบางทีมันนอนไปแล้วเราก็จะไล่มันกลับไปนอนไม่ต้องตื่นขึ้นมาฟังเรื่องราวใดๆทั้งนั้นไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แค่มันรับโทรศัพท์ ก็พอแล้วแบบนี้ละมั้งที่เค้าว่า ... ' เพื่อนคือคนที่สามารถนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรสักคำ '... ' แต่ลุกจากกันไปได้เหมือนคุยกันไปนับล้านคำ '... ' เพื่อน '... ' คือคนที่เมื่อเราสุข เราไม่เห็นมันอยู่ในสายตา '. . . ' แ ต่ เ ป็ น ค น ไ ม่ มี วั น ป ล่ อ ย ใ ห้ เ ร า ล้ ม ลงไ ม่ ว่ า เ ร า จ ะ ไ ป หรือเ จ็ บ ม า
จ า ก ไ ห น . . .

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เพื่อนผู้ไร้วิญญาณ


เด็กหญิงต้อย อายุ 10 ขวบ ใส่ชุดเก่า ๆ เสื่อที่มีรอยปะชุน มากมาย กางเกงวอมล์ขายาวสีซีดเซียวไม่ชวนน่ามอง เธอมีหมวกใบเก่าไม่แพ้เสื้อผ้าปกคลุมศรีษะผมยาวที่ยุ่งเหยิงไร้การดูแล ใบหน้ามอมแมมหมองคล้ำ กลิ่นกายที่ส่งกลิ่นไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย ในมือขวาของเธอมีกระสอบป่านใบเก่าส่วนในมือซ้ายมีเหล็กคอยคุ้ยเขี่ยและเป็นเครื่องมือที่เธอมีใช้ทำมาหากินในกองขยะ
เด็กหญิงต้อยอ่าน ก.ไก่ ได้ เธอไม่เคยไปโรงเรียน เธอไม่เคยมีชุดนักเรียน เธอไม่เคยมีหนังสือกระเป๋านักเรียนสวย ๆ เหมือนคนอื่นเขา กองขยะคือโรงเรียนที่เธอได้ร่ำเรียนวิชาชีวิต ที่ใคร ๆ ไม่เคยเรียนเหมือนเธอ เศษกระดาษขาด ๆ ที่ไม่มีค่าในความรู้สึกของผู้เพรียบพร้อม แต่สำหรับเด็กหญิงต้อยมันมีค่ากว่ากองเงินกองทองมากมายนักเพราะมันคือหนังสือคือแหล่งความรู้ที่เด็กหญิงต้อยภาคภูมิใจ และมันคือสินค้าที่คอยจุนเจือชีวิตของเธอ และต่อลมหายใจให้แม่ได้
วันหนึ่งขณะที่เด็กหญิงต้อยกำลังทำงานอย่างขมักเขม้น สายตาที่ว่องไวของเธอก็เหลือบเห็นตุ๊กตาหมีตัวดำ ๆ สกปรกถูกนำมาวางทิ้งหมกอยู่กับกองขยะ เด็กหญิงต้อยรีบเข้าไปหยิบมันออกมา เธอยิ้มด้วยความพอใจตุ๊กตาหมีที่แขนขาด อันที่จริงมันเคยเป็นสีขาวมาก่อน เธอปัดเศษขยะตามตัวมันชีวิตของเธอไม่เคยสัมผัสสิ่งมีค่าอย่างนี้มาก่อนเลย
“ ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ฉันจะพาเธอไปอยู่ด้วย แล้วจะอาบน้ำให้เธอนะ ”
ลูกตาพลาสติกของเจ้าหมีดูเหมือนจะส่งสายตายิ้มออกมาให้เธอ และกำลังพูดกับเธอ
“ ขอบใจจ๊ะ ”
มันเป็นเสียงที่เด็กหญิงต้อยได้ยิน ใช่แล้ว
“ เธอพูดกับฉันเหรอ ”
“ ใช่จ๊ะเธอเป็นเด็กดีฉันอยากอยู่กับเธอตลอดไปเลยได้ไหมจ๊ะ ”
เด็กหญิงต้อยพยักหน้า
“ ได้สิจ๊ะเธอชื่อ เจ้าปุยนุ่นนะฉันจะเรียกเธออย่างนี้ ”

เด็กหญิงต้อยเอาเจ้าปุยนุ่นกลับบ้านทำความสะอาดให้มัน เป็นจริงอย่างที่คิดเจ้าปุยนุ่นมันเป็นตุ๊กตาหมีสีขาวราวปุยนุ่นและมันเป็นตุ๊กตาที่น่ารักถึงแม้ว่ามันจะพิการมีแขนเพียงข้างเดียว
“ เธอสวยมากเลยปุยนุ่น ”
“ เธอก็สวยเหมือนกัน ”
เด็กหญิงต้อยกอดเจ้าปุยนุ่นแล้วยกมันขึ้นมาเผชิญหน้า
“ ฉันจะสวยได้อย่างไร ดูเสื้อผ้าที่ฉันใส่สิมันสกปรกเก่าแสนเก่าอย่างนี้ เธอยังจะบอกว่าฉันสวยอีกเหรอ ปุยนุ่น ”
ตุ๊กตาหมีพิการที่มีรอยยิ้มตลอดเวลา ยังคงยิ้มให้เจ้าของที่ช่วยชีวิตมัน
“ เธอมีจิตใจที่สวยงาม เสื้อจะเก่าอย่างไร มันจะขาดจะเสียหาย เป็นยังไงก็ชั่งมัน ของเพียงแค่เธอมีจิตใจที่สวยงามก็พอแล้ว ”
เด็กหญิงต้อยงงกับคำพูดของปุยนุ่น
“ ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดหรอก ”
“ การเกิดเป็นคนเธอโชคดีมากนะต้อย เธอมีแขนมีขามีอวัยวะครบสามสิบสองประการไม่เหมือนฉันที่มีแขนเพียงแค่ข้างเดียว เธอมีลมหายใจเธอมีชีวิต ถึงแม้จะเกิดมาไม่สมบูรณ์พูนสุข ไม่ร่ำรวย ไม่เสื้อผ้าดี ๆ ใส่ สิ่งนั้นมันเป็นแค่เปลือกที่คนสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นแหละ ”
“ แล้วอะไรมันคือความเที่ยงแท้หล่ะ ปุยนุ่น ”
“ ไม่มีสิ่งใดเป็นความเที่ยงแท้ และไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา ร่างกายมันเป็นเพียงแต่เนื้อหนังที่ห่อหุ้มลมหายใจเท่านั้น ”
“ ถ้าอย่างนั้นเราจะเกิดมาเพื่ออะไรกัน เธอรู้ไหมปุยนุ่น ”
“ เราเกิดมาเพื่อธรรมชาติเพื่อจรรโลงสังคมโลกให้ยังอยู่ มันเป็นกรรมที่ส่งให้เราทุกคนเกิดมาเพื่อดิ้นร้น และเรียนรู้ให้ชีวิตยังอยู่รอด ”
“ แต่ฉันอยากเรียนหนังสือปุยนุ่น ฉันอยากไปโรงเรียน ”
“ เธอมีโรงเรียนอยู่รอบตัวเธอนะต้อย โลกนี้คือโรงเรียนสำหรับเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกคือบทเรียนชีวิตที่เธอต้องเรียนรู้เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดเพราะเธอยังมี

ลมหายใจอยู่ โรงเรียนมันแค่แหล่งที่บังคับเราให้อยู่ในกรอบแห่งการเรียนรู้ที่คนอื่นมอบให้เราเท่านั้น ”
ปุยนุ่นยังคงยิ้มอยู่อย่างเดิม แต่เด็กหญิงต้อยมีแววตาที่สว่างสดใสขึ้นมากกว่าเดิม
“ จริงของเธอฉันมีโลกเป็นโรงเรียนฉันจะใช้โรงเรียนนี้ เรียนรู้ชีวิตให้มากที่สุดเลยเธอต้องเป็นกำลังใจให้ฉันนะปุยนุ่น ”
“ ฉันจะเป็นกำลังใจอยู่กับเธออยู่ตลอดเวลา ฉันจะเป็นเพื่อนคุยเป็นที่ปรึกษา เป็นทุก ๆ อย่างให้กับเธอ ”
เด็กหญิงต้อยทำหน้าฉงน
“ แล้วจะมีใครได้ยินเธอเหมือนที่ฉันได้ยินหรือเปล่า ”
“ ไม่มีใครได้ยิน มีเพียงเธอเท่านั้น ที่ได้ยินฉัน เพราะเสียงที่เธอได้ยินนั้นมันไม่มีตัวตน มันไม่ใช่เสียงของปุยนุ่นตุ๊กตาหมีที่เธอนอนกอดอยู่ ”
เด็กหญิงต้อยตกใจ
“ แล้วเสียงที่ฉันได้ยินคือเสียงของใคร ”
“ มันคือเสียงของเธอนั้นเอง มันคือเสียงแห่งความสำนึกที่อยู่เบื้องลึก ตรงส่วนความสำนึกความมีจิตใจที่ดีของเธอ ”
“ โถ ! เธอก็ไม่บอกฉัน ทำให้ฉันฝันไปเสียมากมายทำไมกัน ”
“ เพราะเธอเป็นคนนะสิ เธอถึงฝันและได้ยินเสียงของตัวเอง ต่อไปนี้ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร อย่างไรก็ตามเสียงนี้มันยังอยู่กับเธอตลอดไป ”
เด็กหญิงต้อยขดตัวใต้ผ้าห่มเก่า ๆ กอดตุ๊กตาหมีแน่นกว่าเดิมหลับตาเพราะง่วงเหลือเกิน เสียงของปุยนุ่นยังคงดังแว่วเป็นระยะ ๆ ตลอดชีวิตตราบใดที่เด็กหญิงต้อยจะยังคงมีชีวิตอยู่ และมีลมหายใจ
…………………………………….……………………………………………………

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความรักของฉันคือ

ความรักของฉันคือ ?

I want that one be you

ฉันไม่เคยรู้เลยว่าความรักระหว่างหนุ่มสาวเป็นอย่างไร และไม่เคยคิดว่าจะคาดหวังสิ่งใดจากความรัก คนหนึ่งคนที่เดินทางบนเส้นทางสายชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตลอดมาหวังว่าคนคนนั้นที่ฟ้าได้ประทานมาให้ผูกพันธ์คงจะมีบางสักคน ฉันสุขใจเมื่อเห็นคนอื่นมีความรัก ฉันเศร้าใจเมื่อเห็นคนอื่นเสียใจจากความรัก ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ฉันเป็นอยู่คืออะไรกันแน่
ความรักของฉันเป็นอย่างไรไม่รู้ฉันรู้เพียงแต่ว่า ยางของยาง น้ำของน้ำ ความรักเป็นทั้งสิ่งเริ่มแรกและสิ่งสุดท้าย เมื่อยามรักเรามีทุกอย่างตามแต่ใจปรารถนา เมื่อปราศจากความรักเราก็ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ความรักเป็นทั้งศรัทธาทั้งหลาย คือความหวังของทุกสิ่ง ความรักเป็นเสมือนพิภพ คือทุกอย่างที่เกิดจากโลกแล้วก็กลับไปสู่โลก ความรักคืออะไร พูดได้ยากบอกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ยากนักที่ผู้มีรักจะรู้สึกตัว
พลังแห่งรักเป็นของขวัญอันมีค่าที่บางสิ่งบางอย่างประทานให้แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการรักตัวเอง รักคนอื่น รักสิ่งของ รักอะไรก็ตาม เพราะความรักสถิตอยู่ในดวงจิต หาใช่ร่างกายไม่ มนุษย์ไม่อาจทำความรักสุกงอมได้ จนกระทั่งหลังจากผ่านความเศร้า ความพลัดพราก ความอดทน ความขมขื่นและความทุกข์ยากอันแสนทรมาน
ความรักของฉันจะเปรียบด้วยดอกไม้ใด ๆ ไม่ได้ เพราะฉันได้ยินคำกล่าวว่า ความรักที่แท้จริงไม่ใช่สีแดง ย่อมมีสีดั่งสีนิล เหมือนดังสีพระสอพระศิวะ เมื่อทรงดื่มยาพิษร้ายเพื่อรักษาโลกให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิต และต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุดนี้ ความรักย่อมเต็มใจเลือกสีนิล คือความขมขื่นไว้ดีกว่าจะเลือกเอาสีอื่นที่มุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผู้หญิงหากิน


“ กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง ”
เสียงนาฬิกาปลุกทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือดังขึ้นจากหัวเตียงในห้องแคบสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีข้าวของเครื่องใช้เฟอ์นิเจอร์ไร้ความงามราคาถูกที่สุดเท่าที่เจ้าของห้องพอจะหาได้ถูกวางชิดผนังห้องสีขาว แสงไฟนีออลหลอดผอมเริ่มส่องแสงสว่างขึ้นจากการสัมผัสสวิตช์ของมือสวยขาว
วิไล หญิงสาวในชุดนอนเบาบาง ลุกขึ้นนั่งบนเตียงเก่า ๆ ขยี้ตา แล้วหาวออกมา ผมของเธอยุ่งเหยิงรอยยับบนที่นอนและร่องรอยแป้งขาวที่ปะหน้าก่อนนอน
“ กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง ”
เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังอยู่
“ อะไรกันโว๊ย 2 ทุ่มแล้วเหรอว๊ะ ”
วิไลโวยวายคนเดียว แล้วกดสวิตช์ดับเสียงปลุกของเครื่องบอกเวลา เธอเดินลงจากเตียงคว้าผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างผนังห้อง พันกายทีไร้ชุดนอนเบาที่เธอใส่ก่อนหน้านี้ เธอรวบผมขมวดปมเหนือศรีษะแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ไป
สายน้ำไหลรินออกมาจากฝักบัวแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามการหมุนของวิไล กลิ่นสบู่เด็กหอมฟุ้ง ร่างกายของวิไลมีฟองขาวไปทั่วทั้งเรือนร่างก่อนจะล้างมันออกแล้วปิดน้ำให้หยุดไหลและเช็ดตัวพันกายด้วยผ้าขนหนูผืนเดิมที่เธอสวมใส่เมื่อตอนเข้าห้องน้ำ
หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งมีเครื่องสำอางราคาถูกวางระเกะระกะมากมายวิไลจัดการตกแต่งใบหน้าสวยของเธอด้วยเครื่องสำอางเหล่านั้น เริ่มด้วยทาแป้งรองพื้นไร้ยี่ห้อปกปิดริ้วรอยบางอย่าง จากนั้นเสริมแต่งด้วยสีสันหลากหลายสีจนใบหน้าเธอสวยตามความพอใจของเธอ
ภาพชายหญิงชราและเด็กชายหญิงรวมสี่คนถูกใส่อยู่ในกรอบวางอยู่บนชั้นวางเสื้อผ้า พวกเขาคือใคร ชายหญิงชราคือพ่อและแม่ของเธอส่วนเด็กทั้งสองคือลูกสาวและลูกชายของเธอนั้นเอง

วิไลหยิบชุดที่เธอคิดว่าสวยที่สุดเสื่อสายเดี่ยวเส้นเล็กบางถูกสวมใส่ปกปิดร่างกายส่วนบนของเธอแต่ใช่ว่าจะปิดได้ทุกส่วนมันเป็นความจงใจที่เธอต้องการให้เป็นอย่างนั้น
นาฬิกาปลุกอันเดิมแต่ตอนนี้เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกายังคงเดินไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหวนกลับมาเหมือนเดิม วิไล ต้องเดินทางเข้าทำมาหากินในเมืองหลวงเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้วเธอทำงานทุกอย่างเพื่อที่จะได้เงินส่งให้พ่อแม่และลูก ๆ ของเธอได้มีกินเหมือนคนอื่นเขา แต่คนการศึกษาต่ำไม่รู้หนังสืออย่างเธอจะทำยังไงได้นอกจากอาชีพนี้
วิไล ลั่นกุญแจปิดห้องเช่าราคาถูกที่อยู่ในชุมชนสลัมในเมืองหลวง เธอเดินคนเดียวในซอยเพื่อออกมายืนรออะไรบางอย่างที่ป้ายรถเมล์ เปล่าเลยเธอไม่ได้รอรถเมล์ เธอไม่ได้รอแท็กซี่ แต่เธอรอสิ่งมีชีวิตมนุษย์เพศชายผู้ที่ต้องการบำบัดความใคร่ที่มันคั่งค้างอยู่ในหัวใจ ผู้ชายที่สามารถมีเงินแลกกับเรือนร่างของเธอ
“ น้องไปกับพี่เท่าไหร่ ”
เสียงลูกค้ารายแรกของคืนนี้
“ พี่ให้หนูเท่าไหร่ค่ะ ”
วิไลโต้ตอบไปอย่างน้อยเธอเองก็มีหัวทางธุรกิจอยู่บ้าง
“ 1500 ก็แล้วกัน ”
ชายผู้นั้นยิ้มอย่างพอใจ สายตาที่มองเธอเหมือนจะกลืนกินไปในตอนนั้น
“ 2000 นะพี่ ”
“ 2000 ก็ได้ ”
“ แต่พี่จะพาหนูไปที่ไหนหล่ะ ”
“ โรงแรมโน่นไง พี่ออกค่าโรงแรมเอง ”
ลูกค้าของเธอชี้ไปทางโรงแรมม่านรูดที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วทั้งสองก็เดินคลอเคลียไปกระทำการตามธุรกิจกามารมณ์ที่ตกลงกันไว้ วิไลเป็นโสเภณีเป็นผู้หญิงหากินเธอต้องการเพียงแค่เงินเท่านั้น และไม่อายที่ใครจะมองเธอหยามเหยียดอย่างไร เพราะเธอยอมรับว่าเธอเป็น ผู้หญิงหากิน

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

2 มุมมองของความรักที่แตกต่าง.....

ในมุมหนึ่ง . . . หลายครั้งที่ฉันแอบมองหน้าเขาเวลาที่เขาเผลอ . . . เขาน่ารักมาก แต่ทำไมนะเขาถึงไม่เคยแม้แต่จะชำเลืองมองฉันเลย หลายครั้งที่เขาคุยกับผู้หญิงคนอื่น แต่ฉันกลับรู้สึกหึงไปมากมาย . . . ทั้งที่เราเป็นแค่เพื่อนกัน . . . แต่เขากลับไม่เคยที่แคร์ความรู้สึกฉันเลย หลายครั้งที่ฉันสารภาพอย่างอ้อมๆ กับเขาว่า . . . ฉันแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งอยู่ . . . เขาก็รับฟังแล้วหัวเราะ แล้วบอกว่า . . . ดีแล้วล่ะที่เธอมีความรัก แต่ใครหนอจะเป็นผู้ชายที่โชคร้ายคนนั้น หลายครั้งที่ฉันแกล้งทำสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น เพื่อหวังให้เขามีความรู้สึกว่าหึงบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยจะยินดียินร้ายสักนิด มิหนำซ้ำยังเข้าไปคุยกับผู้ชายคนนั้นอย่างดีหน้าตาเฉย หลายครั้ง . . . ที่ฉันถามเขาว่าถ้าเกิดว่าเธอรู้สึกว่ารักใคร แล้วเขาไม่เคยรักตอบหรือแม้แต่จะมองมาเลย เธอจะรู้สึกอย่างไร? เขากลับตอบว่า “เรื่องของผม” หลายครั้งที่ฉันไม่สบาย ฉันแค่อยากได้ยินคำว่า . . . ทานยาหรือยัง เป็นห่วงนะ แต่เขากลับแค่มองแล้วก็เดินผ่านไป หลายครั้งที่ฉันอยากให้เขาเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ แต่เขาบอกว่า ไม่ดีหรอก เดี๋ยวแฟนเห็น หลายครั้งที่ฉันโทรไปหาเขา พยายามคุยแบบเพื่อนเพื่อให้เขาไม่อึดอัด แต่เขากลับพูดมาว่า . . . ทำไมถึงต้องโทรมาด้วย อย่าทำให้ผม ต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีออกไปนะ. . . หลายครั้งที่ฉันอยากจะบอกความในใจออกไปให้เขาได้รับรู้สักที แต่ทุกๆ คำที่ฉันได้รับจากเขา. . . มันเพียงพอแล้ว ฉันไม่ต้องการที่จะบอกอะไรเลยกับเขา ฉันไม่เกลียดเขาหรอก เพราะคนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกรักหรือเกลียดได้ แต่ต่อไปนี้ฉันคงไม่กล้า ที่จะมองเธอแล้วล่ะ . . . ไม่คุย ไม่โทรไปหรือทำให้เธออึดอัดใจใดๆ ทั้งสิ้น ลาก่อนนะคนดี . . . และลาก่อนความรักของฉัน . . พยายามทำดีเพื่อคุณอยู่ก็ได้. . . โดยที่คุณก็ไม่เคยได้รู้เลย. . . .
อีกมุมหนึ่ง . . . หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าคุณแอบมองผมอยู่ คุณรู้ไหมว่ามันทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคุณ . . .คุณน่ารักมาก ผมไม่เคยใจสั่นแบบนี้มาก่อนเลย สายตาคุณทำไมถึงได้ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้นะ . . . หลายครั้งที่ผมต้องพยายามคุยกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพื่อให้ไม่ให้คิดกับคุณมากไปมากกว่านี้ แต่ผมห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้เลย . . . ทำไมนะ . . . หลายครั้งที่คุณบอกผมว่าคุณแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งอยู่ คุณรู้ไหมหัวใจผมมันเจ็บปวดแค่ไหน. . . ทำไมถึงไม่เป็นผมนะ หลายครั้งที่ผมเห็นคุณสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น ผมทรมานมากเลยรู้ไหม . . . ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า คุณมีแฟนแล้วสินะ . . . สำหรับผม . . . เพื่อนเท่านั้นที่คุณรู้สึกสินะ แต่ผมก็ยอมได้ . . . เพื่อคุณ ทุกครั้งที่คุณถามผมว่าถ้าผมไปหลงรักใครโดยที่เขาไม่เคยมองเลย ผมจะทำยังไง. . . ผมตอบคุณไปแล้วนะ. . . เรื่องของผม คุณรู้ไหมว่านั่นเป็นคำพูดที่ผมตอบกับตัวเอง นั่นสินะ . . . เรื่องของผมที่จะรักผู้หญิงคนนี้โดยที่เขาไม่เคยสนใจผมเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่คุณไม่สบาย.คุณรู้ไหมว่าถ้าผมเจ็บแทนคุณได้ ผมจะไม่รอช้าเลย. . . คุณรู้ไหมว่าผมมอง เห็นเขาคนนั้นเอายามาให้คุณ ผมไม่อาจทนดูภาพนั้นได้เลย อยากเข้าไปชกหน้าเขา แต่ก็ทำไม่ได้. . . ผมถึงได้แค่มองแล้วก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ คุณคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยืนมองอยู่นานแค่ไหนด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ถุงยาในมือผมมันร่วงลงตอนไหนไม่รู้ ทุกครั้งที่คุณบอกว่าจะให้ผมไปส่งคุณที่ป้ายรถเมล์ รู้ไหมผมตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ไปส่งคุณ แต่ผมคงไม่ไปส่งคุณแค่ป้ายรถเมล์หรอก ผมอยากส่งคนที่ผมรักให้ถึงบ้านเลย แต่พอนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้น แฟนคุณคนนั้น. . . ผมไม่อยากให้คุณมีปัญหา ผมไม่อยากให้แฟนคุณเข้าใจผิด. . . ผมถึงได้บอกกับคุณว่า . “ไม่ดีหรอก เดี๋ยวแฟนเห็น” หลายครั้งที่คุณโทรหาผม หัวใจผมมันเต้นตามเสียงของโทรศัพท์ ผมไม่อยากรับโทรศัพท์คุณเลย ผมไม่อยากให้ใจผมมันรักคุณไปมากกว่านี้อีกแล้ว มันทรมาน . . . และในที่สุดผมก็ไม่อาจทนรอให้มันดังอย่างนั้นได้อีกแล้ว ผมจึงตัดสินใจบอกคุณไปว่าอย่าทำให้ผมต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีเลย คุณรู้อะไรบ้างเพราะผมกลัวว่าผมจะสารภาพความในใจกับคุณ ที่มันเก็บไว้มานานออกไป ผมกลัวใจตัวเองเหลือเกิน ถ้าผมเผลอพูดออกไป. . . คุณคงรู้สึกไม่ดี คงเกลียดผมและเดินจากผมไป ผมไม่อยากให้คุณจากผมไปไหนทั้งนั้น. . . ผมรักคุณนะ แต่หลังจากวันนั้น ทำไมคุณถึงเมินเฉยกับผมนัก คุณรู้ตัวไหมสายตาที่คุณมองผมอย่างเย็นชานั่นน่ะ . . . มันทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไร . . . กลับมาเหมือนเดิมกับผมได้ไหม แม้จะได้แค่เป็นเพื่อนกับคุณเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น แค่นี้ ผมก็สุขใจแล้ว . . . เพราะอะไร บอกผมสักคำสิ. . . บางทีสิ่งที่คุณเห็น . . . หรือสิ่งที่คุณคิด จริงๆ แล้วมันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย